โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) ไม่ได้เป็นเพียงโรคที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่ยังเป็น สาเหตุอันดับหนึ่ง ของภาวะไตวายเรื้อรังทั่วโลก การที่ไตถูกทำลายอย่างต่อเนื่องจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงส่งผลให้เกิดอาการที่เรียกว่า “โปรตีนรั่วในปัสสาวะ” หรือ Proteinuria ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ความเสียหายร้ายแรงของไต บทความนี้จะอธิบายกลไกที่เบาหวานทำลายไต และแนะนำวิธีการควบคุมน้ำตาลที่ถูกต้องเพื่อป้องกันและชะลอการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ
กลไกการทำลายไต: เมื่อน้ำตาลสูงเกินไป
ไตมีหน่วยกรองเล็กๆ ที่เรียกว่า โกลเมอรูลัส (Glomerulus) ซึ่งประกอบด้วยหลอดเลือดฝอยที่บอบบางและทำหน้าที่เป็นตัวกรอง เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินเกณฑ์เป็นเวลานาน จะเกิดปฏิกิริยาต่อเนื่องที่ทำลายหน่วยไตดังนี้:
1. ความเสียหายต่อหลอดเลือดฝอย
น้ำตาลที่สูงเกินไปจะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Glycation คือน้ำตาลไปจับกับโปรตีนในผนังหลอดเลือดฝอย ทำให้ หลอดเลือดแข็งตัว หนาขึ้น และเกิดความเสียหาย ความเสียหายนี้เกิดขึ้นกับหลอดเลือดขนาดเล็กทั่วร่างกาย รวมถึงหลอดเลือดฝอยในหน่วยไตด้วย
2. แรงดันที่เพิ่มขึ้นภายในหน่วยไต
น้ำตาลที่สูงยังส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนและสารสื่อประสาทต่างๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของความดันเลือดภายในหน่วยกรองของไต แรงดันที่สูงเกินไป ภายในโกลเมอรูลัสจะทำให้หน่วยกรองถูกยืดและทำงานหนักเกินไป คล้ายกับการใช้ “ก๊อกน้ำแรงดันสูง” สาดใส่ตะแกรงกรองที่บอบบาง
3. โปรตีนรั่ว (Proteinuria/Albuminuria)
เมื่อหน่วยกรองได้รับความเสียหายจากทั้งน้ำตาลและแรงดันที่สูงอย่างต่อเนื่อง จะเกิด รอยรั่ว ที่ทำให้ โปรตีนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ อัลบูมิน (Albumin) รั่วไหลออกมากับปัสสาวะ ภาวะนี้เรียกว่า Albuminuria ซึ่งเป็นสัญญาณแรกเริ่มของโรคไตจากเบาหวาน (Diabetic Nephropathy) ยิ่งมีโปรตีนรั่วมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งบ่งบอกถึงความเสียหายที่รุนแรง และทำให้อัตราการเสื่อมของไตเร็วขึ้น
การควบคุมน้ำตาล: หัวใจของการป้องกันโปรตีนรั่ว
การรักษาเพื่อชะลอการเกิดโปรตีนรั่วและป้องกันไตเสื่อมในผู้ป่วยเบาหวานคือการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลักทั้งสองตัว ได้แก่ ระดับน้ำตาลในเลือด และ ความดันโลหิต ให้ได้ตามเป้าหมาย
1. ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเป้าหมาย (Goal: HbA1c < 7%)
การควบคุมน้ำตาลในเลือดให้ดีที่สุดเป็นมาตรการป้องกันไตเสื่อมที่สำคัญที่สุด แพทย์จะใช้ค่า HbA1c (น้ำตาลสะสมเฉลี่ยในเลือด 3 เดือน) ในการประเมินการควบคุมน้ำตาล
- มาตรการด้านอาหาร: เน้นอาหารที่มี ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low Glycemic Index) เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท และธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี จำกัดการบริโภคน้ำตาล เครื่องดื่มรสหวาน และน้ำผลไม้
- การใช้ยาเบาหวาน: ใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งยากลุ่มใหม่บางชนิด เช่น SGLT2 Inhibitors ที่มีหลักฐานชัดเจนว่าช่วยลดความเสี่ยงไตเสื่อมและลดโปรตีนรั่วได้
2. ควบคุมความดันโลหิต (Goal: < 130/80 mmHg)
ความดันโลหิตที่สูงจะยิ่งเพิ่มแรงดันภายในหน่วยไต ทำให้โปรตีนรั่วมากขึ้น การควบคุมความดันจึงสำคัญไม่แพ้การควบคุมน้ำตาล
- ยาปกป้องไต: แพทย์มักใช้ยาในกลุ่ม ACE Inhibitors หรือ ARBs เพื่อควบคุมความดันโลหิต เพราะยาเหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษในการ ลดแรงดันภายในโกลเมอรูลัส โดยตรง ทำให้โปรตีนรั่วลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- ลดโซเดียม: การจำกัดปริมาณโซเดียมในอาหาร (ไม่เกิน 1,500-2,000 มก./วัน) เป็นสิ่งจำเป็นในการควบคุมความดันโลหิต
3. ควบคุมไขมันในเลือด
ภาวะไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะไขมันชนิด LDL cholesterol ก็เป็นอีกปัจจัยที่เร่งการเกิดความเสียหายต่อหลอดเลือดและหน่วยไต การควบคุมไขมันจึงเป็นส่วนสำคัญของการดูแลสุขภาพไตในผู้ป่วยเบาหวาน
การสังเกตและตรวจคัดกรองโปรตีนรั่ว
ผู้ป่วยเบาหวานทุกคนควรได้รับการตรวจคัดกรองโปรตีนรั่วในปัสสาวะเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้สามารถตรวจพบความเสียหายของไตได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม
- สังเกตอาการ: หากปัสสาวะมีฟองมากผิดปกติและฟองไม่สลายไปง่ายๆ ควรปรึกษาแพทย์
- การตรวจ ACR: แพทย์จะตรวจหาค่า Albumin-to-Creatinine Ratio (ACR) ในปัสสาวะ ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานในการวัดปริมาณโปรตีน (Albumin) ที่รั่วออกมา
หากพบภาวะโปรตีนรั่วในช่วงแรก (Microalbuminuria) และสามารถควบคุมน้ำตาลและความดันโลหิตได้ดี โอกาสที่อาการจะดีขึ้นหรือชะลอการเสื่อมของไตก็จะสูงขึ้นมาก
บทสรุป
โรคเบาหวานคือตัวการทำลายไตที่แท้จริง โดยมี โปรตีนรั่วในปัสสาวะ เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุด การป้องกันไม่ให้ไตเสียหายไปมากกว่านี้จึงขึ้นอยู่กับความมีวินัยในการควบคุม น้ำตาลในเลือด และ ความดันโลหิต อย่างเคร่งครัด การปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์ การปรับพฤติกรรมการกิน และการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยรักษาการทำงานของไตและป้องกันภาวะไตวายได้ในระยะยาว
#เบาหวาน #ควบคุมน้ำตาล #โปรตีนรั่ว #โรคไตจากเบาหวาน #สุขภาพไต
เครื่องมือ