เมื่อโรคไตเข้าสู่ระยะที่ 4 และ 5 ซึ่งเป็นระยะรุนแรงที่สุด (ไตวาย) การจัดการอาหารกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยชะลอการดำเนินของโรคและควบคุมอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ในระยะนี้ การควบคุมปริมาณ โปรตีน เป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างเคร่งครัดและมีหลักการที่ถูกต้อง บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางการบริโภคโปรตีนสำหรับผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 4 และ 5 เพื่อให้คุณสามารถดูแลตัวเองได้อย่างปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทำความเข้าใจโรคไตระยะที่ 4 และ 5
โรคไตเรื้อรังระยะที่ 4 (eGFR 15-29 มล./นาที) และ ระยะที่ 5 (eGFR < 15 มล./นาที หรือไตวาย) เป็นช่วงเวลาที่ไตสูญเสียความสามารถในการทำงานไปมาก ทำให้ไม่สามารถกรองของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยในระยะนี้มักจะมีอาการชัดเจน เช่น บวมตามร่างกาย อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร และอาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยการฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไตในที่สุด
ทำไมต้องจำกัดโปรตีนอย่างเคร่งครัด?
ในระยะที่ไตทำงานได้น้อยมาก การกินโปรตีนในปริมาณปกติจะทำให้เกิดของเสียในรูปของ ยูเรีย และสารอื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส สะสมในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การสะสมของเสียเหล่านี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อร่างกาย เพราะ:
- ยูเรียคั่ง: ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย คลื่นไส้ และอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง
- ฟอสฟอรัสคั่ง: ทำให้เกิดอาการคัน และดึงแคลเซียมออกจากกระดูก ทำให้กระดูกเปราะบางและอ่อนแอ
ดังนั้น การจำกัดปริมาณโปรตีนจึงเป็นวิธีสำคัญในการลดภาระการทำงานของไตและชะลอการเสื่อมของไตที่เหลืออยู่
หลักการบริโภคโปรตีนในระยะที่ 4 และ 5
การจำกัดโปรตีนในระยะนี้ต้องทำอย่างมีหลักการเพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหาร โดยควรยึดแนวทางดังนี้:
- ปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม: ผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 4 และ 5 (ที่ยังไม่ฟอกไต) ควรได้รับโปรตีนในปริมาณที่จำกัดมากที่สุด คือประมาณ 0.6-0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน เช่น หากคุณหนัก 60 กิโลกรัม ควรได้รับโปรตีนเพียง 36-48 กรัมต่อวัน ซึ่งน้อยกว่าคนปกติเกือบครึ่งหนึ่ง
- เน้น “โปรตีนคุณภาพสูง”: แม้จะต้องจำกัดปริมาณ แต่โปรตีนที่ได้รับต้องเป็น โปรตีนคุณภาพสูง (High Biological Value Protein) เท่านั้น เพื่อให้ร่างกายได้รับกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วนในปริมาณน้อยที่สุด
- ไข่ขาว: เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคไต เพราะมีโปรตีนคุณภาพสูงและฟอสฟอรัสต่ำ
- เนื้อปลา: เช่น ปลากะพง ปลาทับทิม ควรเลือกปลาที่มีไขมันต่ำ
- เนื้อไก่ไม่ติดหนัง: ควรเลือกส่วนอก
- ควบคุมฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม: ผู้ป่วยระยะนี้ต้องควบคุมปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมอย่างเคร่งครัดร่วมกับการจำกัดโปรตีน
- ลดฟอสฟอรัส: งดอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง เช่น เครื่องในสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ถั่วและธัญพืชต่างๆ และน้ำอัดลม
- ลดโพแทสเซียม: ควรเลือกกินผักและผลไม้ที่มีโพแทสเซียมต่ำ เช่น ฟักเขียว ผักกาดขาว สับปะรด หรือแอปเปิล
- พลังงานต้องพอ: ผู้ป่วยระยะนี้มักมีภาวะเบื่ออาหารและกินได้น้อย การได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตและไขมันอย่างเพียงพอจะช่วยป้องกันการสลายกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงานได้
ตัวอย่างเมนูอาหาร (มื้อเช้า-กลางวัน-เย็น)
การวางแผนเมนูอาหารล่วงหน้าจะช่วยให้การควบคุมโปรตีนเป็นเรื่องง่ายขึ้น
- มื้อเช้า: ข้าวสวยกับไข่ขาวต้ม 3-4 ฟอง หรือ ข้าวต้มปลากับข้าวสวย
- มื้อกลางวัน: ข้าวสวยกับปลานึ่งซีอิ๊วขาวลดโซเดียม หรือ ข้าวสวยกับแกงจืดเต้าหู้หมูสับ (ใช้ปริมาณเนื้อหมูที่จำกัด)
- มื้อเย็น: ข้าวสวยกับผัดผักกาดขาวกับอกไก่ หรือ ข้าวสวยกับปลาทอด (ใช้น้ำมันมะกอก)
ข้อควรจำ
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: การวางแผนอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 4 และ 5 ควรทำร่วมกับแพทย์และนักกำหนดอาหารอย่างใกล้ชิด เพราะปริมาณโปรตีนและสารอาหารอื่นๆ ที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
- ห้ามอดอาหาร: การอดอาหารจะทำให้ร่างกายสลายกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงาน ซึ่งจะทำให้สุขภาพทรุดลงเร็วขึ้น
- ควบคุมปริมาณน้ำ: ผู้ป่วยในระยะนี้ต้องควบคุมปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวันตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันอาการบวมและภาวะน้ำเกิน
บทสรุป
แม้ว่าไตจะเข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้ว แต่การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีโดยเฉพาะเรื่องอาหาร จะช่วยชะลอการดำเนินของโรคและลดความรุนแรงของอาการต่างๆ ได้ การจำกัดและเลือกกินโปรตีนให้ถูกประเภทคือหนึ่งในก้าวที่สำคัญที่สุดในการดูแลสุขภาพในระยะนี้ การมีวินัยในการกินอาหารจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
#ไตวาย #โรคไตระยะ4 #อาหารโรคไต #ควบคุมโปรตีน #สุขภาพดี